7 ข้อปฏิบัติเพื่อเริ่มต้นสู่การเป็นนักเทนนิสอาชีพในอนาคต

เทนนิสเป็นกีฬาอีกประเภทที่มีคนสนใจยึดเป็นอาชีพ อุตสาหกรรมกีฬาเทนนิสนั้นถือเป็นหนึ่งในกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในระดับต้นๆ และผู้เล่นที่ประสบความสำเร็จก็สามารถได้รับทั้งเกียรติยศ ชื่อเสียง เงินทองและโอกาสดีๆ มากมาย ว่ากันว่าช่วงอายุในการเริ่มต้นเล่นเทนนิสที่ดีที่สุดคือ 8 ถึง 12 ปี เพราะเป็นช่วงอายุที่สามารถหลงใหลไปกับการเล่นกีฬาชนิดนี้ได้แล้ว และสามารถจะอดทนหรือให้ใจกับการฝึกฝนได้เป็นเวลานานๆ ซึ่งหากได้รับการดูแลหรือฝึกสอนโดยโค้ชที่เป็นมืออาชีพ เด็กๆ จะสามารถตั้งต้นการเล่นเทนนิสได้อย่างถูกต้องและพร้อมที่จะก้าวไปสู่การแข่งขันในระดับจูเนียร์ได้ มีข้อแนะนำจำนวน 7 ข้อ สำหรับผู้ปกครองที่ต้องการให้ลูกหลานเล่นเทนนิสเพื่อต่อยอดเป็นอาชีพในอนาคตดังนี้ 1. ตั้งใจทำตามบทเรียนที่โค้ชสอน                 ทำให้แน่ใจว่าเด็กๆ ได้รับการสอนโดยสโมสรเทนนิสที่มีประสบการณ์ ไม่จำเป็นต้องแพงแต่ต้องเป็นโรงเรียนที่มีผู้เชี่ยวชาญหรือมีโค้ชมืออาชีพจริงๆ เพราะโค้ชตัวจริงจะสามารถสอนเรื่องพื้นฐานและชี้แนะแนวทางในการพัฒนาได้ 2. ดูการแข่งขันของมืออาชีพ                 การติดตามดูมืออาชีพแข่งขันถือเป็นการสั่งสมประสบการณ์ที่ดี เพราะจะช่วยให้มีโอกาสเห็นวิธีการเล่นในเกมระดับแข่งขันจริงๆ 3. เรียนรู้เทคนิคที่ถูกต้อง                 เทคนิคในการเล่นเทนนิสอย่างถูกต้องนั้นช่วยให้สามารถเล่นเทนนิสได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยในเรื่องของการป้องกันปัญหาบาดเจ็บได้ด้วย 4. เล่นฟิตเนสและดูแลสุขภาพ                 การออกกำลังกายหรือเล่นฟิตเนสสำคัญต่อทุกชนิดกีฬา ยิ่งเทนนิสเป็นกีฬาที่ต้องการทั้งความแข็งแรงและความยืดหยุ่น การเข้าฟิตเนสเพื่อคุมระดับความแข็งแรงของร่างกายและการทานอาหารที่ถูกต้องจะช่วยให้มีร่างกายที่พร้อมสำหรับการเล่นหรือการแข่งขัน 5. หาไอดอลไว้เป็นแรงบันดาลใจ                 อันที่จริงทุกคนต่างมีไอดอลทั้งนั้น แต่ไอดอลในการเล่นเทนนิสถือเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยให้นักเทนนิสรุ่นเยาว์มีแรงจูงในการพัฒนาฝีมือได้ 6. พัฒนาการเล่นอย่างชาญฉลาด                 กีฬาเทนนิสเป็นเกมที่ต้องใช้สมองควบคู่ไปกับความแข็งแรงของร่างกาย การหาแนวทางหรือฝึกฝนวิธีการเล่นให้หลากหลายจนสร้างรูปแบบที่ชัดเจนของตัวเองได้ จะช่วยให้เอาชนะคู่แข่งได้มากขึ้น รวมถึงคาดเดาการเล่นของคู่แข่งได้ดีขึ้น

เทศกาลเคลย์คอร์ท สองเดือนแห่งการชิงจ้าวสนามดิน

สนามเทนนิสถือเป็นหนึ่งในปัจจัยที่จะส่งผลให้นักเทนนิสสร้างผลงานที่ดีหรือไม่ดีได้ ปัจจุบันการแข่งขันของวงการเทนนิสโลกถือว่าได้จัดวางลำดับการแข่งขันให้สอดคล้องกับรายการใหญ่ของทั้งฝ่ายชายและหญิง รอบการแข่งขันของ ATP และ WTA ในแต่ละปีจะเริ่มต้นด้วยการไปชิงแชมป์แกรนด์ สแลมแรกที่ออสเตรเลี่ยน โอเพ่นในเดือนมกราคม ก่อนที่จะมีรายการแข่งขันบนฮาร์ดคอร์ทต่อเนื่องมาถึงเดือนมีนาคมและจบลงด้วยรายการระดับรองจากแกรนด์ สแลมคือ ATP Masters และ WTA Premiers ฝ่ายละสองรายการคืออินเดียน เวลล์สและไมอามี่ โอเพ่น ที่ฟลอริด้า ทันทีที่รายการที่ฟลอริดาจบ การแข่งขันจะเริ่มเข้าสู่เดือนเมษายนกับการต่อสู้บนสนามดินสีแดงซึ่งเรียกว่าเคลย์คอร์ทหรือคอร์ทดินนั่นเอง แม้จะเรียกว่าคอร์ทดิน แต่ทุกวันนี้พื้นสนามของเคลย์คอร์ทจะเป็นอิฐบดละเอียดหรือหินกรวดบดละเอียด โดยจะต้องมีคุณสมบัติไม่อมน้ำหรือซับน้ำ และเป็นสนามที่มีการกระดอนแตกต่างจากสนามชนิดอื่นมากที่สุดเพราะนอกจากกระดอนช้าแล้วยังกระดอนสูง เมื่อเป็นแบบนี้การแข่งขันรายการใหญ่สุดของคอร์ทดินที่โรล็องต์ การ์รอสหรือศึกเฟร้นช์ โอเพ่นจึงเป็นเวทีที่เหมาะสมในการหาเจ้าแห่งสนามดิน ก่อนจะไปถึงโรล็องต์ การ์รอสในปลายเดือนพฤษภาคม จะมีรายการแข่งขันบนคอร์ทดินต่อเนื่องไปทุกสัปดาห์จนกว่าจะถึงแกรนด์ สแลม ซึ่งระหว่างทางก็มีรายการเก็บคะแนนสำคัญบนคอร์ทดิน ทั้งที่มาดริดและโรมต่อคิวให้ทุกคนพิสูจน์ตัวเองว่าสามารถแสดงฝีมือได้ดีแค่ไหน เมื่อต้องเล่นบนสนามที่ลูกวิ่งช้า และต้องอาศัยทักษะสไลด์เท้าเพื่อเล่นลูกเพราะไม่สามารถหยุดได้แบบมั่นคงเหมือนสนามหญ้าหรือปูน ที่ผ่านมาคอร์ทดินถือเป็นของชอบสำหรับนักเทนนิสบางคนและเป็นของสแลงสำหรับคนอื่นๆ ราฟาเอล นาดาลกับชูสติน เอแน็งต์ที่ต่างคว้าแกรนด์ สแลมที่โรล็องต์ การ์รอสมาได้หลายสมัยถูกยกขึ้นมาเป็นแถวหน้าของพวกชอบคอร์ทดิน โดยเฉพาะนาดาลที่เป็นเจ้าของสถิติชนะต่อเนื่องบนคอร์ทดิน 81 เกม และครองแชมป์เฟร้นช์ โอเพ่นไป 11 ครั้ง เขาคือเทพเจ้าแห่งสนามดินโดยแท้ หลายครั้งที่คะแนนสะสมของนักเทนนิสที่ถนัดเคลย์คอร์ทพุ่งพรวดขึ้นมา นั้นเพราะพวกเขาสามารถการันตีแต้มสะสมที่จะได้จากการลงเล่นในสนามที่ตัวเองถนัดเป็นพิเศษ ผิดกับสนามอื่นที่สู้กันค่อนข้างสูสีกว่า และเพื่อลดช่องว่างตรงนั้นนักเทนนิสที่ไม่ถนัดก็ต้องพยายามเล่นบนคอร์ทดินให้ดีขึ้นและแน่นอนขึ้น

เมื่ออินเดียน เวลล์ 2019 คือเวทีแจ้งเกิดของดาวรุ่งรุ่นต่อไป

รายการแข่งขันเทนนิสมาสเตอร์ที่แคลิฟอร์เนียปีนี้ คือเครื่องพิสูจน์ว่าอะไรก็เป็นไปได้ เพราะสองแชมป์ทั้งชายและหญิงต่างสร้างปรากฏการณ์พลิกล็อคในนัดชิงชนะเลิศด้วยกันทั้งคู่ ศึกอินเดียน เวลล์ส มาสเตอร์ในรายการ BPN Paribas Open กลางเดือนมีนาคมกลายเป็นที่ฮือฮา เมื่อนัดชิงชนะเลิศฝ่ายชายจบลงด้วยการที่เจ้าของแชมป์แกรนด์ สแลม 20 รายการอย่างโรเจอร์ เฟเดอร์เรอร์พ่ายไป 1-2  เซตรวดให้นักเทนนิสออสเตรียวัย 25 โดมินิค เตียม ซึ่งยังไม่เคยชนะรายการมาสเตอร์ 1000 มาก่อนได้นับหนึ่งเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้เตียมแทบจะหาฟอร์มการเล่นที่ดีไม่ได้เลยในหลายทัวร์นาเมนต์ การเตรียมตัวและลงเล่นที่แคลิฟอร์เนียตลอด 10 วันจึงเหมือนเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แม้กระทั่งหลังจากได้ชัยชนะเหนือเฟเดอร์เรอร์และคว้าแชมป์ได้ เขาก็ยังคงพูดว่าทั้งหมดนี่เหมือนไม่ใช่เรื่องจริงอยู่ดี หากการเอาชนะเฟเดอร์เรอร์และคว้าแชมป์มาสเตอร์รายการแรกตั้งแต่เทิร์นโปรสู่มืออาชีพของเตียมดูไม่ใช่เรื่องจริง การคว้าแชมป์ของเบียงก้า อันเดรสคูก็น่าจะเป็นเทพนิยายเรื่องใหม่ของรายการเอทีพีทัวร์ สาวน้อยชาวแคนาดาวัย 18 ปีผ่านเข้ารอบมาในฐานะมือไวลด์การ์ด ต้องลงเล่นตั้งแต่รอบ 128 คนและฝ่าฟันผ่านนักเทนนิสแรงค์กิ้งสูงกว่าคนแล้วคนเล่ามาได้ รวมถึงการพลิกเอาชนะเอลิน่า สวิโตลิน่า มือวางอันดับ 6 โลก 2-1 เซต แต่คู่แข่งที่ยืนรออยู่ในรอบชิงอย่างอันเจลิค แคร์เบอร์ มือวางอันดับ 8 ของโลกก็ทำให้ทุกคนเชื่อว่าเธอคงทำได้ดีสุดแค่เข้าชิงเท่านั้น ในเกมนัดชิงเบียงก้าสามารถขึ้นนำได้ก่อนอย่างเซอร์ไพรซ์ แต่แคร์เบอร์ก็ตามเอาคืนได้ รวมถึงในเซตสุดท้ายที่เบียงก้ามีอาการบาดเจ็บที่ขา ถึงอย่างนั้นเธอก็กัดฟันสู้กับนักเทนนิสหญิงที่ได้ชื่อว่าฟิตที่สุดคนหนึ่งของวงการปัจจุบันและเอาชนะไปได้อย่างพลิกล็อค เป็นผู้เล่นที่ไม่ได้เป็นมือวางคนที่

ข้อดีของเล่นเทนนิสกับการยืดชีวิตไป 10 ปี

การได้ออกกำลังกายช่วยให้มนุษย์เราร่างกายแข็งแรงขึ้น และนั่นก็ส่งผลโดยตรงต่ออายุของคนเรา หากว่าเราแข็งแรงดี มันก็มีโอกาสที่เราจะมีชีวิตยืนยาวได้ และในบรรดากิจกรรมทั้งหลายที่เป็นการออกกำลังกาย (ไม่ใช่เล่นแบบเล่นกีฬา) เทนนิสคือเบอร์หนึ่งในการยืดอายุให้ยาวนานขึ้นถึง 10 ปี ทำไมเทนนิสถึงเป็นการออกกำลังกายที่ยืดอายุผู้คนได้มากที่สุด? เรื่องนี้มีการทำวิจัยที่เดนมาร์กโดยปีเตอร์ สนอรห์ และเพื่อนร่วมวิทยาลัย พบว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการออกกำลังกายด้วยวิธีการอื่น เทนนิสสามารถยืดอายุผู้เล่นได้มากกว่า ส่วนที่ถูกเอามาเป็นเกณฑ์ในการวิจัยคือเรื่องการทำงานของหลอดเลือดและหัวใจ โดยศึกษาลงไปที่กลุ่มผู้ร่วมทดสอบซึ่งมีอายุตั้งแต่ 75 ปีขึ้นไปในการออกกำลังกายด้วยการเล่นเทนนิส ว่ายน้ำ เล่นแบดมินตัน ปั่นจักรยาน วิ่งจ็อกกิ้ง เล่นเพาะกายหรือทำกิจกรรมสุขภาพของคลับพวกแอโรบิกหรือเต้นรำ ผลปรากฏว่าหลังจากเทียบผลจากรายงานของการศึกษาโรคหัวใจของประชากรในโคเปนเฮเก้น เมืองหลวงของเดนมาร์กกว่า 20,000 คน ซึ่งใช้ชีวิตและออกกำลังกายสม่ำเสมอตั้งแต่ทศวรรษ 1990 ถึงปี 2017 พวกเขามีอายุเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มที่ไม่ออกกำลังกายเลย ในผลการศึกษานั้น เทนนิสเป็นการออกกำลังกายที่ส่งผลต่อค่าเฉลี่ยอายุที่สูงขึ้น 9.7 ปี ตามด้วยแบดมินตัน 6.2 ปี ฟุตบอล 4.7 ปี การวิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำหรือเล่นเพาะกายช่วยยืดออกไปได้ในช่วง 3-4 ปีเท่านั้น ปีเตอร์ สนอรห์กล่าวว่าเขาค่อนข้างประหลาดใจกับผลที่ออกมา แต่มันก็สอดคล้องกับการศึกษาที่ทำโดยนักวิจัยชาวอังกฤษก่อนหน้านี้ซึ่งผลวิจัยสรุปว่า กลุ่มคนที่ออกกำลังกายด้วยการเล่นอุปกรณ์ที่ใช้ไม้แร็คเก็ตต่างๆ จะได้ประโยชน์ด้านสุขภาพมากกว่า โดยที่ตามมาคือการออกกำลังกายด้วยการว่ายน้ำหรือแอโรบิก ในการหาคำตอบว่าทำไมการเล่นเทนนิสหรือแบดมินตันจึงช่วยยืดอายุผู้เล่นได้มากกว่า

5 ของกินที่เป็นสัญลักษณ์ของวิมเบิลดัน

เทนนิสวิมเบิลดันถือเป็นรายการเก่าแก่และเต็มไปด้วยธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบทอดต่อกันมานาน ในสายตาแฟนเทนนิสที่มองวิมเบิลดันเป็นหนึ่งความบันเทิงใจ พวกเขาพร้อมที่จะลงตารางเวลาเพื่อไปดื่มด่ำความสุขจากเกมการแข่งขันแต่ละปีอย่างไม่เสียดาย การเข้าชมเทนนิสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดรายการหนึ่งของโลก นอกจากความบันเทิงจากการแข่งขัน เรื่องของกินก็ดูเหมือนจะเป็นหนึ่งสิ่งที่แฟนเทนนิสไม่ควรพลาด และนี่คือ 5 ของกินที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของเทนนิสวิมเบิลดันโดยแท้ 1. สตรอเบอร์รี่และครีม นี่คือเมนูคลาสสิคและเบสิคที่สุดที่จะต้องหาทานให้ได้เมื่อมาร่วมชมศึกเทนนิสวิมเบิลดัน ด้วยสตรอเบอร์รี่สดๆ ลูกโตๆ ที่เสิร์ฟพร้อมกับครีมสดเต็มถ้วย มันคือของกินง่ายๆ แต่อร่อยมากสำหรับช่วงเวลาที่วิมเบิลดัน 2. พิ้มม์คัพ (Pimm’s Cup) ถ้าจะมองหาเครื่องดื่มที่เป็นของคู่การแข่งขันล่ะก็ต้องยกให้เจ้านี่ ด้วยความที่เป็นเครื่องดื่มที่ถูกยกเป็นอันดับหนึ่งของช่วงซัมเมอร์ที่เกาะอังกฤษ มันจึงกลายเป็นเครื่องดื่มหลักอย่างไม่เป็นทางการของวิมเบิลดันไปเลย ส่วนผสมก็มาจากเหล้าที่ชื่อพิ้มพ์ผสมน้ำมะนาวหรือน้ำมะนาวโซดา แล้วเครื่องแต่งรสชาติที่มีใบมิ้นต์, สตรอเบอร์รี่สดฝาน, แตงกวาสไลด์และส้มสดสไลด์ มันถูกขายมากกว่า 80,000 แก้วทุกปีระหว่างช่วงแข่งขัน 3. แชมเปญ เป็นเครื่องดื่มที่ถูกสั่งมากที่สุดอีกหนึ่งอย่างในช่วงเวลาของวิมเบิลดัน โดยแต่ละปีมีการจำหน่ายไปมากกว่า 25,000 ขวด ซึ่งสำหรับชาวต่างชาติแล้ว การดื่มแชมเปญก็เพื่อความผ่อนคลายไม่ใช่เพื่อความเมามาย 4. ชายามบ่ายและแซนด์วิช การดื่มชายามบ่ายซึ่งเป็นช่วงเบรกของการแข่งขัน มันคือธรรมเนียมปฏิบัติของชาวอังกฤษมาแต่ไหนแต่ไร ซึ่งเมื่อวิมเบิลดันคือการแข่งขันสำคัญในเกาะอังกฤษ การดื่มชายามบ่ายก็กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของแฟนเทนนิสไปด้วย พวกเขาจะสั่งชาร้อนเสิร์ฟพร้อมแซนด์วิชหรือขนมปัง คุกกี้ครีมสด หรืออาจจะมีแชมเปญประกอบมาในเซตด้วยก็ได้ 5. ฟิชแอนด์ชิพ ปลาชุบแป้งทอดและมันฝรั่งทอดคือเมนูที่ถูกยกเป็นอาหารสามัญของชาวอังกฤษ ด้วยความที่มันทำง่ายและเหมาะที่จะทานร้อนๆ ท่ามกลางเวลาที่ค่อนข่างเร่งด่วนระหว่างรอชมเกมการแข่งขัน เมื่อถึงเทศกาลวิมเบิลดัน ฟิชแอนด์ชิพก็คืออาหารจากหลักเบอร์หนึ่งที่ทุกคนไม่พลาด

หลี่ นา ก้าวแรกของชาวเอเชียในบันทึกของฮอล ออฟ เฟรม

การได้รับบรรจุชื่อเข้าไปอยู่ในฮอล ออฟ เฟรมหรือหอเกียรติยศ ถือเป็นเกียรติประวัติสูงสุดของนักเทนนิสทั่วโลก ซึ่งมีเฉพาะผู้ที่สร้างผลงานอันยอดเยี่ยมในระหว่างการเล่นเทนนิสไว้เท่านั้นที่สามารถได้รับโอกาสนี้ และที่ผ่านมาไม่เคยมีนักเทนนิสเอเชียคนไหนเคยได้รับเกียรติยศนี้มาก่อน แต่วันที่ 20 กรกฎาคมนี้จะมีนักเทนนิสเอเชียคนแรกที่ได้รับเกียรติบรรจุชื่อไว้ในหอเกียรติยศ เธอคือหลี่ นา เจ้าของแชมป์แกรนด์ สแลมสองรายการคือเฟร้นช์ โอเพ่น ปี 2011 กับ ออสเตรเลี่ยน โอเพ่น ปี 2014 เปรียบเสมือนผู้ปักธงเกมเทนนิสลงบนแผ่นดินประเทศจีน และเป็นนักเทนนิสหญิงชาวเอเชียที่ได้พิสูจน์ให้เห็นความเป็นนักสู้ทั้งร่างกายและจิตใจอย่างหนักหน่วงในช่วงหลายปีที่เธอเข้าทำการแข่งขัน นักเทนนิสหญิงที่เคยก้าวขึ้นถึงมืออันดับ 2 ของโลกทั้งที่เผชิญปัญหาบาดเจ็บหลังและหัวเข่าอย่างรุนแรงตลอด ในฐานะนักเทนนิสหญิงชาวเอเชีย หลี่ นาคือความภาคภูมิใจของทุกคน แต่ช่วงเวลาที่เธอต้องขัดแย้งกับทางการจีนก็เป็นเหมือนรอยด่างในชีวิตที่กว่าจะเอาชนะได้ ปัจจุบันหลี่คือต้นแบบที่นักเทนนิสหญิงรุ่นใหม่ของจีนถือเป็นตัวอย่าง และเป็นเป้าหมายในการประสบความสำเร็จตาม “มันเป็นเกียรติที่น่าเหลือเชื่อมาก” หลี่ นาให้สัมภาษณ์ความรู้สึกครั้งแรกเมื่อได้รับข่าวว่าเธอได้รับการเสนอชื่อเข้าหอเกียรติยศ ซึ่งจะมีพิธีฉลองให้ในช่วงเริ่มแข่งขันออสเตรเลี่ยนโอเพ่น 2019 กลางเดือนกรกฎาคม โดยมีอีกสองยอดนักเทนนิสที่ได้รับเกียรตินี้พร้อมกันคือแมรี่ เพียชและเยฟกินี่ คาเฟลนิคอฟ การได้รับรางวัลนี้ทำให้ทั้งสามคนจะได้มีชื่อรวมในกลุ่มนักเทนนิส 250 คนจาก 23 ชาติที่ได้รับมันไปก่อนหน้านี้ แต่หลี่ นาถือเป็นข่าวใหญ่และเป็นไฮไลท์ของงานอย่างช่วยไม่ได้ เพราะเธอจะเป็นคนจีนและคนเอเชียคนแรกที่มีชื่อบรรจุอยู่ในนี้ “ฉันต้องการแค่เห็นการเติบโตของวงการเทนนิสในจีน แต่ก็ภูมิใจกับรางวัลที่ได้มากเช่นกัน” หลี่ นาซึ่งเอาชนะการแข่งขันนัดชิงที่โรล็องต์ การ์รอส วันนั้นหลี่ทำให้แฟนกีฬาชาวจีนถึง

โคโค่ กับปรากฏการณ์รายได้ของเด็กสาวอายุ 15 ในวงการเทนนิส

สำหรับนักเทนนิสระดับเยาวชนแล้ว ทุกคนต่างพยายามก้าวขึ้นมาเป็นนักเทนนิสอาชีพเพื่อสร้างรายได้จากเงินรางวัลและการเซ็นสัญญากับสปอนเซอร์ก้อนโต แต่สำหรับนักเทนนิสสาวอายุแค่ 15 ปีอย่างโคริ โกฟฟ์ รายได้ของเธออาจจะเป็นบรรทัดฐานใหม่ของนักเทนนิสรุ่นเยาว์ โคริ โกฟฟ์หรือ โคโค่ นักเทนนิสดาวรุ่งของสหรัฐเกิดที่เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจียในปี 2004 เริ่มจับแร็กเก็ตตอนอายุ 7 ขวบและเลือกย้ายจากแอตแลนตามาเข้าฝึกฝนในอะคาเดมี่ชั้นนำด้านเทนนิสที่ฟลอริดา และเริ่มลงแข่งขันในรายการระดับจูเนียร์ตอนอายุ 8 ขวบ จังหวะก้าวบนเวทีเทนนิสระดับจูเนียร์ของโคโค่เร็วเหมือนติดจรวด ในตอนที่อายุ 12 ปี โคริ โกฟฟ์คว้าแชมป์จูเนียร์ ออเร้นจ์ โบลว์ครั้งแรกได้ด้วยชัยชนะเจ็ดรอบรวดแบบไม่เสียเซต หากมองย้อนกลับไป รายการนี้ถือเป็นรายการแจ้งเกิดของเหล่านักเทนนิสหญิงคนดัง อาทิ สเตฟี่ กราฟ(1981) โมนิก้า เซเลส(1985) และเจนนิเฟอร์ คาปริอาตี้(1986) ที่ต่างได้แชมป์ที่นี่ตอนอายุ 12 ปีทั้งนั้น ซึ่งต่อมาทั้งหมดคว้าแชมป์แกรนด์ สแลมรวมกันถึง 34 รายการ โคริ โกฟฟ์สร้างชื่อบนถนนสายเทนนิสระดับเยาวชน ด้วยการเป็นผู้เล่นชาวอเมริกันที่อายุน้อยที่สุดที่ได้เข้าชิงรายการจูเนียร์ ยูเอสโอเพ่น 2017 ด้วยวัยเพียง 13 ปี แม้จะพลาดแชมป์แต่นั่นก็ทำให้เธอถูกกล่าวขานถึงอย่างมาก ก่อนที่จะก้าวขึ้นมาคว้าแชมป์ในรายการจูเนียร์ เฟร้นช์ โอเพ่น

3 น้ำตาลูกผู้ชายในสนามเทนนิสที่โลกจดจำ

การร้องไห้ถือเป็นการแสดงออกทางอารมณ์ในระดับสูงสุดของมนุษย์เพศชาย นักกีฬาชายซึ่งมีความเข้มแข็งทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจสูงมักไม่เสียน้ำตาง่ายๆ และเมื่อใดก็ตามที่พวกเขามีน้ำตา แสดงว่าสิ่งนั้นมีความหมายมากเพียงใด อันดับ 3 ต่อมน้ำตาแตกของแอนดี้ เมอร์เร่ย์ เป็นที่รู้กันดีว่าเมอร์เร่ย์นั้นเป็นคนอารมณ์อ่อนไหว ยิ่งหากเข้าใจถึงสิ่งที่อยู่ในใจของเมอร์เร่ย์ในเกมนัดชิงชนะเลิศวิมเบิลดัน 2012 หลังจากพ่ายนัดชิงแกรนด์ สแลม 4 รายการรวด แอนดี้ เมอร์เร่ย์ไม่สามารถสะกดอารมณ์ตัวเองไว้ได้ เขาร้องไห้ออกมาและกล่าวว่า “ผมเองก็ร้องไห้ได้เหมือนโรเจอร์ ผมหวังว่าผมจะเล่นได้เหมือนเขา” อันดับ 2 การถูกฆ่าซ้ำๆ ของเฟเดอเรอร์โดยนาดาล หลังจากสูญเสียมงกุฎแชมป์และมืออันดับหนึ่งในปี 2008 ให้ราฟาเอล นาดาล นักเทนนิสชาวสวิสซ์ต้องพบกับฝันร้ายในการเผชิญหน้ากับคู่แข่งชาวสเปนอย่างต่อเนื่อง เกมออสเตรเลี่ยน โอเพ่น แกรนด์ สแลมแรกของปี 2009 โรเจอร์ เฟเดอเรอร์เข้าไปรอชิงชนะเลิศโดยชนะแบบไม่เสียเซตมาตลอดเส้นทาง ขณะที่นาดาลต้องดวลเกมยาวถึง 5 ชั่วโมงในชัยชนะ 3-2 เหนือแฟร์นานโด เวอร์ดาสโก้ในรอบเดียวกัน ทว่าในการเล่นนัดชิงชนะเลิศกลับเป็นการแข่งขันที่ผลัดกันชนะคนละเกม ก่อนที่นาดาลจะเก็บเซตตัดสินไปได้ ช่วงรับรางวัลโรเจอร์ เฟเดอเรอร์ถึงกับระงับอารมณ์ไม่อยู่ เขาร้องไห้ออกมาและพูดเพียงแค่ว่า “พระเจ้า นี่มันกำลังฆ่าผมให้ตาย” ฝ่ายผู้ชนะอย่างนาดาลได้แค่ปลอบใจว่า “เสียใจสำหรับวันนี้ด้วยนะโรเจอร์” อันดับ 1 น้ำตาของมนุษย์น้ำแข็ง พีท

เมื่อไหร่นิชิโคริจะคว้าแชมป์เมเจอร์?

นักเทนนิสชายชาวเอเชียแท้ๆ น้อยคนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นมือท็อปของโลก แต่มันยิ่งน้อยลงไปอีกเมื่อจะหาคนที่สามารถคว้าแชมป์ระดับเมเจอร์หรือแกรนด์ สแลมมาเป็นที่เชิดหน้าชูตาชาวเอเชีย ซึ่งเคย์อิ นิชิโคริ ยอดนักเทนนิสชาวญี่ปุ่นคือคนที่เข้าใกล้จุดนั้นมากที่สุดในตอนนี้ แต่เขาก็ยังทำไม่สำเร็จ ในช่วงที่เริ่มต้นอาชีพใหม่ๆ นิชิโคริถูกทำนายไว้ล่วงหน้าว่าเขาจะต้องคว้าแชมป์แกรนด์ สแลมใดแกรนด์ สแลมหนึ่งได้ในอนาคตแน่นอน แต่ตอนนี้นิชิโคริที่กำลังจะเข้าใกล้ 30 เข้าไปทุกทีเริ่มตระหนักได้ว่าเวลาที่ผ่านมาของเขามันสูญเปล่า นับตั้งแต่ไมเคิ่ล ชางชนะเฟร้น โอเพ่นในวัย 17 ปี ก็ไม่มีนักเทนนิส เอเชียคนไหนคว้าตำแหน่งแชมป์เมเจอร์หลักอีกเลย นิชิโคริเองก็ทำได้แค่เกือบ เมื่อเขาปราบโรเจอร์ เฟเดอเรอร์ได้ที่ไมอามี่ และเกือบปราบราฟาเอล นาดาลได้ด้วยถ้าไม่บาดเจ็บจนต้องยอมแพ้เสียก่อนในศึกมาดริด มาสเตอร์ ในปี 2014 โอกาสที่ใกล้เคียงอีกครั้งในยูเอส โอเพ่นนัดชิงชนะเลิศ​ หลังจากที่เอาชนะโนวัค โยโควิชมาได้ในรอบรองชนะเลิศ​ คู่แข่งอย่างมาริน เซลิคเบียดคว้าแชมป์แกรนด์ สแลมแรกในชีวิตไปจากนิชิโคริอย่างง่ายดาย 3-0 เกม นิชิโคริขยับอันดับมาถึงมืออันดับ 4 ของโลก แต่แชมป์รายการสำคัญยังเป็นแค่ความหวัง อาการบาดเจ็บเดินหน้าเข้าหาเคย์อิ นิชิโคริในสองสามปีต่อจากนั้น ทั้งนี้ผู้วิเคราะห์มองว่ามันเกิดจากการเล่นของนิชิโคริที่พยายามฝืนเล่นในทุกลูกจนเกินขีดจำกัดของร่างกาย ซึ่งไม่ต่างไปจากแอนดี้ เมอร์เร่ย์หรือโนวัค โยโควิชได้เจอ เขาไม่ชนะรายการเก็บคะแนนอย่างต่อเนื่องและต้องเผชิญความจริงว่าข้อศอกของเขาต้องได้รับการผ่าตัดในช่วงท้ายของปี 2017 นิชิโคริต้องร้างราจากคอร์ทเทนนิสเพื่อรับการผ่าตัดและรักษาตัว เขากลับมาในปี 2018 พร้อมวิธีการเล่นที่แตกต่างไป

การพัฒนาจากยูธต้นกล้า สู่ผู้เล่นระดับยอดไม้สูง

นักเทนนิสรุ่นเยาว์พรสวรรค์สูงมากมายในทุกวันนี้ บางคนอาจจะก้าวขึ้นไปจนถึงจุดสุดยอดในอนาคต แต่เส้นทางนั้นไม่ง่าย และมีองค์ประกอบที่จำเป็นสำหรับการก้าวขึ้นมาอย่างโดดเด่นและมั่นคง ร็อบ เฮมิ่งเวย์ โค้ชระดับเยาวชนใช้เวลาเรียนรู้เรื่องนี้อยู่หลายปี โดยเฉพาะการเรียนรู้ว่านักเทนนิสรายหนึ่งๆ จะก้าวขึ้นมาเป็นระดับท็อปได้นั้นมีสิ่งใดเป็นเรื่องจำเป็นบ้าง และมันก็มี 3 สิ่งแวดล้อมด้วยกันคือ อะคาเดมี่สำหรับการสร้างพื้นฐาน, โครงการสนับสนุนของประเทศตัวเองและโค้ชส่วนตัว ในทุกวันนี้ผู้เล่นเก่งๆ ต่างมาจากอะคาเดมี่ที่โดดเด่น อย่างน้อยหนึ่งปีขึ้นไปสำหรับการได้รับการปรับจูนพื้นฐานและการโค้ชโดยผู้ฝึกสอนมีชื่อเสียง นักเทนนิสระดับท็อปเท็นซึ่งเป็นเบอร์หนึ่งของโลกในปัจจุบันอย่างโนวัค โยโควิชเองก็ทิ้งบ้านเกิดมาเรียนช่วงต้นที่ปิลิช อะคาเดมี่ในมิวนิค ประเทศเยอรมัน หรืออย่างมาริน ซิลิคก็เลือกบ็อบ แบร็ต สคูลในซาน รีโม่เป็นที่ตั้งไข่ การเรียนในอะคาเดมี่ดังนั้นต้องแลกมาด้วยค่าเรียนไม่ใช่น้อย หนึ่งปีในการเรียนรู้เทนนิส เรียนหนังสือและที่พักอาจจะกินเงินถึง 40,000 ยูโรหรือมากกว่า 1.42 ล้านบาท อย่างราฟาเอล นาดาลที่เข้าเรียนในมัวราโตกลู เทนนิส อะคาเดมี่ชื่อดังของฝรั่งเศสนั้นต้องจ่ายสูงถึง 65,000 ยูโรมาแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับว่าอะคาเดมี่มีทุกอย่างที่ว่าที่นักเทนนิสระดับท็อปในอนาคตต้องการ ผู้ฝึกสอนระดับมืออาชีพ สโมสรเทนนิส วิธีการสอนเพื่อกลายเป็นนักเทนนิสที่เก่งฉกาจ หลังจากเข้าเรียนในอะคาเดมี่จนได้ทักษะการเล่นที่ดีแล้ว การจะวัดว่านักเทนนิสเยาวชนรายนั้นพัฒนาไปได้มากแค่ไหนก็หนีไม่พ้นการลงแข่งขัน เหล่าชาติชั้นนำของโลกมีโครงการสนับสนุนและส่งเสริมศักยภาพของนักกีฬา โดยเฉพาะการซัพพอร์ตเรื่องการแข่งขันและปัจจัยจำเป็น การออกไปเผชิญสนามแข่งขันที่ไกลออกไปจากประเทศตัวเองคือหนทางสู่ความก้าวหน้า ผู้เล่นอย่างไคล์ เอ็ดมุนด์ มือระดับท็อปของอังกฤษได้รับการสนับสนุนจากสมาคมลอนเทนนิสของอังกฤษตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ค่าใช้จ่ายของครอบครัวในการแข่งขันและพัฒนาฝีมือถูกกว่าที่ควรจะเป็นเพราะได้รับการเอาใจใส่ในเรื่องนี้ ตรงกันข้ามกับซิโมน่า ฮาเล็บ แชมป์เฟร้น